บทที่ 9 ขึ้นเตียงกันเถอะ!!
.
.
.
หลังจากที่วินเข้าพักที่ตึกแห่งนี้ บิ้วตี้ก็สังเกตพฤติกรรมของชายหนุ่มรุ่นน้องอยู่ถึง 2 สัปดาห์เต็ม จึงเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้ มักจะออกไปทานข้าวช่วงเที่ยงของวัน ละเว้นมื้อเช้า แล้วกลับมาอีกครั้งหลังผ่านพ้นเที่ยงคืนไปแล้ว
เรียกได้ว่าไม่เคยกลับห้องก่อนฟ้ามืดเลยสักวัน ส่วนในช่วงกลางวันนั้นก็มักจะออกจากห้องตอน 8 โมงครึ่ง หรือบางครั้งก็เที่ยงตรง วนเวียนแบบเดิมซ้ำๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยความสงสัยหนัก จนถึงขั้นต้องเปิดกล้องวงจรปิดดู ว่าแท้จริงแล้วเด็กคนนี้กลับมาตอนกี่โมงกันแน่
บิ้วตี้นั่งจ้องหน้าจอไม่ละสายตา จนกระทั่งได้คำตอบ ว่าชายหนุ่มคนนี้มักจะกลับตอนราวๆ ตี 3 ของวัน ช้าบ้างเร็วบ้าง สลับกันไป บางครั้งก็เดินมา นั่งวินมา หรือแม้แต่ขับรถมอไซค์สีชมพูมา
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว บิ้วตี้ไม่รอช้าที่จะวางแผนเผด็จศึก จัดเต็มด้วยการลงมือทำอาหารเองด้วยความตั้งอกตั้งใจ เมื่ออาหารเตรียมพร้อมเสร็จแล้วก็ผละไปงีบหลับเอาแรงในช่วงหัวค่ำ ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วเริ่มต้นอาบน้ำแต่งตัว เลือกชุดเกาะอกสีแดงสด เนื้อผ้ารัดตรึงไปทุกสัดส่วน เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย ที่ด้านหน้าของกระโปรงเป็นริ้วระบายสั้นกุด ยาวเป็นหางปลาที่ด้านหลัง เรียกได้ว่าเป็นชุดที่เหมาะกับการดินเนอร์ในโรงแรมหรู
บิ้วตี้ยืนมองตัวเองที่หน้ากระจกเงา รู้สึกว่าช่วงคอโล่งเกินไปสักหน่อย เมื่อหันมองไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีหูกระต่ายแขวนเอาไว้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พร้อมกับโบว์สีดำจึงไม่รอช้าที่จะหยิบโบว์มาผูกไว้ที่คอของตัวเอง สวมใส่หูกระต่ายเพิ่มความน่ารักน่าชัง เมื่อเสร็จแล้วก็สำรวจตัวเองอีกครั้ง
“กล้ามใหญ่ไปเปล่าวะ” เอ่ยพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาขนนกสีขาวออกมาคลุมร่างของตัวเองไว้ ปล่อยให้คลอเคลียอยู่ที่ช่วงแขนเพื่อบดบังกล้ามอันใหญ่โต ยกยิ้มให้กับเงาสะท้อนภายในกระจก ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง สองมือถือปิ่นโตมุ่งตรงไปที่ห้องมุมสุดทางเดินของชั้น 3
มีเสียงร้องทักดังมาตามรายทางที่เดินผ่าน บิ้วตี้เล่นหูเล่นตากับเหล่าชายหนุ่มชั่วครู่ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องที่ตั้งใจไว้ จัดการวางปิ่นโตลงบนโต๊ะ แล้วนำโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กออกมากางไว้ จัดเรียงอาหารไว้ตรงกลางและข้าวเปล่าสองจานพร้อมช้อนส้อม
“อยากได้เทียนจังแฮะ......” พูดงึมงำกับตัวเอง แล้วเดินกลับขึ้นห้องของตัวเองอีกครั้ง รื้อค้นไปทั่วห้อง จนกระทั่งเจอเทียนสีเหลืองทองอันโต
“อันนี้ก็ได้ว่ะ” พูดพร้อมหยิบคว้าติดมือมาพร้อมกับไฟแช็ก เดินกลับไปที่ห้องเดิมอีกครั้ง จุดเทียนแล้ววางตั้งบนโต๊ะ ก่อนจะดับไฟ หมุนตัวกลับไปล้มตัวนอนบนเตียง จัดท่าทางของตัวเอง ให้ดูเย้ายวนที่สุดเท่าที่จะทำได้
ลองทำหน้าทำตา ตาปรือจือปาก จับชายกระโปรงให้เปิดแง้มๆ ให้ลุ้นเล่นๆ จัดท่าทางของตัวเอง พลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ท่าที่น่าพึงพอใจ จึงนอนเล่นโทรศัพท์รอไปพลาง และเปิดกล้องวงจรปิดผ่านมือถือส่วนตัว
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของคนรอ จวบจนกระทั่งเห็นร่างที่คุ้นตาเดินเข้ามาภายในตัวอาคาร ทำให้บิ้วตี้ทะลึ่งตัวลุกพรวด แล้วมุ่งตรงไปจุดเทียน ขยับวิ่งไปปิดไฟ แล้วกลับมากระโดดขึ้นเตียงนอน จัดท่าจัดทางของตัวเองอย่างเร่งรีบ
แกร๊ก
“!!!” วินตกใจหนักถึงกับผงะถอยหลัง ก่อนจะหยุดยืนนิ่ง กะพริบตาปริบมองจ้องคนที่อยู่บนเตียงของตนด้วยความแปลกใจ
“วินวิน คัมม่อนเบบี้” ว่าพร้อมกระดิกนิ้วเรียกด้วยท่าทางเย้ายวน วินยืนกำหมัดแน่น ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“เจ๊มาทำอะไรในห้องของผม” พูดอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ พยายามไม่ระเบิดโทสะออกมา เพราะตอนนี้เป็นเวลาตี 3 นิดๆ ชาวบ้านชาวช่องเขาหลับกันหมดแล้ว เห็นทีคงจะมีแต่คนสติไม่เต็มภายในห้องเขานี่แหละที่มันยังนอนตาแป๋วมองจ้องราวกับจะกลืนกิน
“รอกินน้องวิน เอ้ย! รอกินข้าวกับวินวินไง” ว่าพร้อมส่งยิ้มหวานส่งให้ วินจึงขยับมือไปกดเปิดไฟ ทำให้เห็นว่าตรงกลางห้อง มีอาหารวางตั้งอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กจนเต็ม บิ้วตี้ทำหน้าบึ้งใส่ ก่อนจะโวยวายออกมา
“วินวิน!! เค้าอยากดินเนอร์ใต้แสงเทียน!!” วินกลอกตาไปมา ก่อนจะเดินไปดับไฟแล้วหักแท่งเทียนออกจากโต๊ะ บิ้วตี้มองการกระทำนั้นตาค้าง ริมฝีปากเริ่มเบะออกคล้ายกับจะร่ำไห้ วินทรุดตัวลงนั่งกับพื้น แล้วขวักมือเรียกคนบนเตียงให้ลงมานั่งด้วยกัน
“แต่งตัวบ้าอะไร”
“ไม่สวยหรอ” บิ้วตี้พูดพร้อมกับหมุนตัวไปมา ทำให้ชายกระโปรงพลิ้วตามการขยับตัว วินส่ายหัวเล็กน้อยแล้วเริ่มต้นทานอาหารตรงหน้า บิ้วตี้ทำหน้ายู่ขัดใจ แต่ก็ยอมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยกัน หยิบคว้าช้อนส้อมมาถือไว้เป็นอาวุธ ก่อนจะเริ่มต้นทานอาหารตรงหน้าบ้าง
ต่างคนต่างทาน เสียงช้อนกระทบปิ่นโตดังขึ้นเป็นระยะ บิ้วตี้ตักอาหารใส่จานตัวเองสลับกับตักใส่จานของคนตรงหน้า วินชะงักไปชั่วครู่ แล้วตักอาหารเข้าปากโดยไม่พูดอะไร ความเงียบครอบงำตลอดระยะเวลาการทานอาหาร จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ
“ขอบคุณ” บิ้วตี้เงยหน้าขึ้น ยกยิ้มเต็มดวงหน้า ทำหน้าปลื้มปริ่ม
“วินวินตกหลุมรักเค้าแล้วใช่ไหม!” วินกลอกตาทำหน้าเอือมใส่ ในขณะที่มือสากแต่ขาวนวลคว้าหมับเข้าที่แขน ดึงเข้าหาตัวอีกเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขึ้นเตียงกันเถอะ!!” วินใช้มือยันหน้าอีกฝ่ายให้ออกห่าง แล้วสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม เอ่ยบอกเสียงนิ่ง
“ไปนอนไป”
“โอเค๊!!” บิ้วตี้หมุนกายฉับ กระโดดขึ้นเตียงนอน ตบลงปุๆ เชิงเรียกร้องให้มานอนด้วย วินทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะสืบสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ บิ้วตี้ยิ้มกริ่ม แหกแข้งแหกขารอ จวบจนกระทั่งชายหนุ่มเดินมาถึงเตียง และโน้มตัวคร่อมหญิงสาวใต้ร่างเอาไว้ บิ้วตี้ก็ตวัดขากอดรัดที่เอวสอบ สองมือยกขึ้นคล้องคอชายหนุ่ม ร้องเรียกเสียงหวานหยดย้อย
“วินวิน~~”
หมับ!
“อ๊ะ! ลิงอุ้มแตงหรอ เจ๊ชอบ~~” ในคราแรกแม้จะตกใจอยู่บ้าง ที่จู่ๆ ก็ถูกอุ้มยกขึ้นจากเตียง แต่ต่อมาก็เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่ออีกฝ่ายใช้สองมือรองสะโพกเอาไว้ให้ แล้วพาก้าวเดิน
แกร๊ก!
ตุ้บ!
ปัง!
“อะ อะ วินวิ๊นนนนนนนน” บิ้วตี้นั่งอยู่ที่พื้นกระเบื้องด้านล่าง หลังจากที่ถูกอีกคนอุ้มเข้าเอวแล้ว ก็เปิดประตูออก โยนหญิงสาวออกไปจากตัวจนหล่นตุ้บลงบนพื้น แล้วปิดประตูใส่หน้าเสียอย่างนั้น กว่าจะตั้งสติได้ก็ผ่านไปหลายวินาที ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาจนดังลั่นไปทั่วทั้งทางเดิน
.
.
.
Winner Part
วินฟังเสียงกรีดร้องจากด้านนอกแล้วยกยิ้มมุมปาก ส่ายศีรษะไปมาด้วยความระอาใจ ทรุดตัวลงคุกเข่า เริ่มต้นเก็บข้าวปลาอาหาร ยกไปล้างที่ระเบียงด้านนอก แล้วคว่ำตากไว้ให้แห้ง เพื่อที่จะนำไปคืนเจ้าของในช่วงสายของวันหลังจากนอนหลับพักผ่อน
เมื่อล้างจานเสร็จ ก็เดินมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ได้ยินเสียงทุบประตูดังอยู่ชั่วครู่ และจบลงด้วยการเดินลงส้นเท้าถอยจากไป คนฟังได้แต่ยกยิ้มขบขัน แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ร่างสูงยืนใต้สายน้ำนิ่งๆ หากแต่ริมฝีปากกลับวาดรอยยิ้มโค้งขึ้นเล็กน้อย อย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น
ยอมรับตามตรงเลยว่าครั้งแรกที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจออะไรแบบนี้ทำให้ผงะไปเหมือนกัน แว๊บแรกที่คิดได้คือห้องถูกขโมยเข้า แต่เมื่อได้มองดูดีๆ ก็พบคนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงด้วยชุดยาวกรุยกราย จนนึกว่าจะไปขึ้นคาบาเร่ต์โชว์ที่ไหน หรือไม่อาจจะมีนัดทานข้าวโรงแรมหรูๆ สักที่ ไม่ใช่การนั่งกับพื้นกระเบื้อง นั่งกินกับโต๊ะญี่ปุ่น ภายใต้แสงเทียนพรรษาที่ไม่ได้จุดแบบนี้
อาหารที่อีกฝ่ายเตรียมมาก็ไม่ได้เลิศหรูอะไร ออกจะบ้านๆ ไปด้วยซ้ำ อย่างไข่เจียวหมูสับ กะเพราหมู และหมูทอดกระเทียม มีให้ซดน้ำอีกนิดหน่อยนั่นก็คือต้มจืด กับข้าวเปล่า 2 จาน มันธรรมดาเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าหญิงสาวแต่งตัวมาจัดเต็ม ช่างไม่เข้ากับอาหารที่นำขึ้นโต๊ะเลยสักนิด
ตอนแรกวินก็รู้สึกแปลกใจอยู่หน่อยๆ เมื่อพบว่ามีใครบางคนพยายามเข้าหาถึงขนาดนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิม เพราะถ้าเป็นปกติแล้ว หญิงสาวส่วนใหญ่จะผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป แม้จะอยากสานสัมพันธ์แค่ไหน เมื่อวินปฏิเสธก็จะล่าถอยกลับไปเอง หรือไม่ก็จะได้รับความเฉยชากลับไป เช่นเดียวกันกับที่คนๆ นี้ได้รับ หากแต่แทนที่คนไม่เต็มคนนี้จะสลด กลับยังคงพยายามเข้าหา คิดสารพัดวิธีที่จะยอมให้เขาใจอ่อน
มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นเสยเส้นผมที่เปียกลู่แนบไปกับใบหน้า เงยหน้ารับสายน้ำที่ปะทะผิวกาย ผ่อนคล้ายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน แล้วเริ่มต้นอาบน้ำแต่งตัว จะได้กลับไปนอนพักเร็วๆ ดังนั้นแล้ววินจึงเร่งมือในการอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง โดยที่ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มดวงหน้าอยู่อย่างนั้น
.
.
.
Beauty Part
“อีบิ้ว! เป็นห่าอะไรมึง!” เดียร์หันไปแว๊ดใส่คนที่มองตามก้น ก้มตามตูดผู้ชายที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างกับคนหิวกระหายคล้ายจะลงแดง
“มะ มะ มึง กูจะตายแล้ว” บิ้วตี้พูดพร้อมกับปาดน้ำลายออกจากริมฝีปาก ยกมือขึ้นสูง ทำท่าขยุกขยิก ตามก้นของผู้ชายที่เดินผ่านหน้าร้านไป จนเมื่อมองส่งจนสุดสายตาก็ทำหน้าหงอย คล้ายว่าจะร่ำไห้ แล้วก็ดีดตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีผู้ชายคนใหม่เดินผ่านหน้า และเป็นแบบนี้ซ้ำๆ จนเดียร์นึกรำคาญใจ ยันโครมเข้าที่เก้าอี้ที่บิ้วตี้กำลังนั่งอยู่ จนตัวหมุนเหวี่ยงเป็นวงกลมแล้วกลับมาอยู่ที่จุดเดิม
“มึงอยากมึงก็ไปปล่อยอีเหี้ย! ไม่ปล่อยก็มาช่วยทำมาหากิน!!” เดียร์บ่นพร้อมกับโยนหวีมาหาอีกทีอย่างหงุดหงิดใจ ลูกค้าก็เยอะ ไอ้เจ้าของร้านมันเอาแต่นั่งลอยหน้าลอยตามองตามก้นผู้ชายอยู่นั่น เมื่อบ่นเสร็จก็หันกลับมาทำผมให้ลูกค้าต่อ บิ้วตี้ทำหน้าเซ็ง ก่อนจะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ที่กำลังนั่งอยู่ แต่แล้วก็ดวงตาเบิกกว้าง พุ่งเข้าไปหาแขกที่มาใหม่ เข้าชาตร์อีกฝ่ายในทันที
“พี่หมอออออออ” คนที่ถูกเรียกขานพร้อมกับแรงกอดรัดที่แขน ทำให้ต้องก้มลงมองอย่างฉงนใจ แล้วก็ต้องผงะถอยหลังไปเมื่ออีกฝ่ายถูไถใบหน้าลงกับอกของตนเอง
“บิ้วนะคะ คิดถึ๊งคิดถึงนะ ไม่เจอพี่หมอนานเลยยย” บิ้วตี้พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ซุกหน้าลงกับอก แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก มือข้างหนึ่งลูบวนอยู่ที่บั้นท้ายของอีกฝ่ายด้วยความพลั้งเผลอ จนคนโดนต้องแงะมือตุ๊กแกออกจากตัว เอ่ยปากบอก
“ไม่เจอดีแล้วครับ หมออยากรักษาสัตว์มากกว่ารักษาคนนะ” คนเป็นหมอยิ้มแหย่ ก่อนที่บิ้วตี้จะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในมือคนเป็นหมอ
“เอากระเช้ามาทำไมคะ?”
“อ่อ คือ...” คนเป็นหมอถึงกับตั้งตัวไม่ทัน กะพริบตาปริบ สายตาหันไปมองใครบางคนที่กำลังยืนทำผมให้กับลูกค้าอยู่เพียงลำพัง ริมฝีปากหนาเม้มแน่น ก่อนจะหันไปตอบคนที่ยืนข้างกัน
“อ่อ หมอเอามาสวัสดีปีใหม่น่ะ แล้วก็เผื่อจะได้ส่วนลดบ้าง” พูดพร้อมกับรอยยิ้ม ในขณะที่คนข้างตัวก็ยกยิ้มยินดี รับเอาตะกร้ามาถือไว้ เขย่งตัวขึ้น กดจมูกลงที่แก้มของคนเป็นสัตวแพทย์ทั้งสองข้าง
ฟอด! ฟอด!
“ขอบคุณนะคะหมอ” เอ่ยบอกเสียงอ่อนเสียงหวาน แววตามันเชื่อม ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นในระยะเผาขน
ปึก!!
บิ้วตี้หันไปมองด้วยความตกใจ ใบหน้าเผือดสีเมื่อเห็นใครบางคนที่อยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้ ใบหน้าและแววตาเรียบนิ่งไร้อารมณ์ เมื่อมองที่มาของเสียง ก็พบว่าเป็นปิ่นโตสองอันที่ตัวเองเป็นคนทำอาหารเข้าไปเสิร์ฟให้ถึงในห้องนอน ก่อนที่อีกฝ่ายจะหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“วินวิ๊นนนนนน เดี๊ยววววว” บิ้วตี้ผลักหมอปริญออกจากตัวอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งตามชายหนุ่มที่เดินออกไปนอกร้าน ทิ้งให้คนเป็นสัตวแพทย์ยืนมึนงง เมื่อจู่ๆ ก็ถูกทิ้งอย่างไม่รู้ตัว
.
.
.
Dear Part
เดียร์เหลือบตามองคนที่ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่กลางร้านอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก ในใจนึกเขม่นเพื่อนสาวคนสนิท เพราะดูเหมือนว่ามันจะจำไม่ได้เลยว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดการติดต่อกันไปในช่วงหลัง และมันก็บ้าจี้เชื่อว่าไอ้หมอหมานี่จะเอากระเช้าปีใหม่มาให้จริงๆ แม้ว่าจะผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่มา 3 สัปดาห์แล้วก็ตามที เดียร์ได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับเพื่อนสนิท มันโง่ขนาดนี้ไม่รู้ว่าคบเป็นเพื่อนได้ยังไงตั้งนาน
คิดบ่นอยู่ภายในใจ ในขณะที่มือก็ทำงานของตัวเองไปพลาง ใช้หวีเก็บงานให้เรียบร้อยจับศีรษะลูกค้า พลิกไปพลิกมาแล้วจัดแต่งทรงผมอีกหน่อยก็เป็นอันเสร็จสิ้น บอกราคา รอรับเงิน แล้วเดินไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อทอดเงินให้
เมื่อบอกขอบคุณลูกค้าที่ใช้บริการเสร็จแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เปิดนิตยสารออกอ่านไปพลางๆ ไม่ให้ความสนใจกับคนที่กำลังยืนงงอยู่ แต่แล้วความตั้งใจก็ต้องพังทลาย เพราะคนที่ตนไม่อยากเอ่ยปากพูดด้วยมากที่สุดกลับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เดียร์เหลือบตามองเพียงชั่วครู่ แล้วก้มหน้าลงอ่านหนังสือตามเดิม
“คุณครับ ผมอยากทำสีผมครับ รบกวนหน่อย” เดียร์เงยหน้ามองก่อนจะเอ่ยตอบเสียงนิ่ง
“ไม่ว่างค่ะ เดี๋ยวเรียกช่างคนอื่นให้นะคะ” พูดเสร็จก็กวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าลูกน้อง 3 คนนั้นกำลังขะมักเขม้นทำงานของตัวตามหน้าที่ ก็จิ๊ปากด้วยความขัดใจที่ไม่มีใครว่าง แล้วเก็บซ่อนอาการ ตอบกลับไป
“ตอนนี้ช่างไม่ว่างค่ะ นั่งรอก่อนนะคะ” พูดเสร็จก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจ.....
ได้ยังไงล่ะ!!
เมื่อโซฟาด้านข้างยวบไหวไปตามแรงของคนที่ทิ้งตัวลงนั่ง จนเดียร์หันขวับไปมองหน้าอย่างเอาเรื่อง หากแต่คนด้านข้างก็ไม่สนใจ เปิดปากพูดขึ้นลอยๆ
“สงสัยต้องเอาไปโพสบ้างแล้วล่ะ ว่าเจ้าของร้านปฏิเสธไม่รับลูกค้า” พูดพร้อมกับนั่งจิ้มโทรศัพท์ไปมา
“เหตุผลดีๆ ก็ไม่มีให้ แถมยังทำเมินใส่อีก” เดียร์กัดฟันกรอด สองมือจิกลงที่นิตยสารภายในมือ คิดว่าถ้าหากมันเป็นผมของคนตรงหน้า คงจะขยุ้มติดมือมาได้เป็นกำๆ
“เอาลงที่ไหนบ้างดีนะ เฟส ไลน์ ทวีต ไอจี อ้อ ต้องลงกระทู้ด้วย!”
ปัง!
เมื่อสิ้นความอดทน หนังสือเล่มหนาก็วางกระแทกลงกับโต๊ะกระจกด้านหน้า ผุดตัวลุกขึ้นยืน เปิดปากพูดเสียงลอดไรฟัน
“เชิญ!!” หมอปริญยกยิ้ม แล้วผุดตัวลุกขึ้น เดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ เอ่ยปากบอกสิ่งที่ต้องการ
“พอดีหมออยากเล็มให้ผมสั้นลงหน่อยน่ะ แล้วก็ทำผมสีน้ำตาลเข้ม” เดียร์คิ้วกระตุก ก่อนจะหยิบเอาผ้าคลุมมาห่อหุ้มตัวให้ แต่ก็รัดคอแน่นเสียจนคนเป็นหมอไอโขลกๆ คนทำก็ยกยิ้มเหี้ยม รัดแน่นขึ้นไปอีก คนเป็นลูกค้าได้แต่หน้าดำหน้าแดง ดึงยื้อเอาไว้แทน
“นี่คุณ! จะฆ่ากันรึไง!”
“ฮึ!” เดียร์เชิดหน้าแล้วยอมคลายออก ใช้น้ำพรมศีรษะให้เปียกหมาด แล้วเริ่มต้นเล็มปลายผมอย่างตั้งอกตั้งใจ
คนที่รับบริการได้แต่หนาวๆ ร้อนๆ เพราะไม่รู้ว่าคนที่ทำผมให้อยู่นั้นจะแกล้งอะไรตนหรือไม่ จึงนั่งจ้องตาไม่กะพริบ จนเมื่อตัดสั้นเสร็จ ก็เชิญให้ไปสระผมก่อนกับพนักงานภายในร้านก่อน แล้วจึงกลับมานั่งลงอีกครั้ง เดียร์ก็ถามเสียงนิ่งว่าต้องการสีน้ำตาลแบบไหน แล้วหยิบมาให้เลือก
คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำผมแต่แรกก็ชี้ๆ จิ้มๆ ไปมั่วๆ แล้วนั่งมองท่าทางตั้งอกตั้งใจของคนที่ด้านหลังผ่านกระจกเงา มือใหญ่กำหมัดเอาไว้แน่นภายใต้ผ้าคลุม ก่อนจะเอ่ยปากทำลายความเงียบ
“ขอโทษ...” เดียร์ชะงักไปชั่วครู่ แล้วทำผมต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผมขอโทษ” สัตวแพทย์หนุ่ม เอ่ยปากย้ำอีกหน เดียร์เหลือบตามองผ่านกระจกเงา แล้วทำท่าจะผละไปเมื่อลงน้ำยาทั้งหมดเสร็จแล้ว เหลือเพียงแค่รอเวลา ทันทีที่หมุนตัวหันหลังกลับ ฝ่ามือเล็กแต่สากเพราะทำงานหนักก็ถูกจับคว้าไว้โดยมือใหญ่ของคนที่จับเครื่องมือแพทย์
“ผมขอโทษ ผมรู้ว่าผมพูดไม่ดี แต่ผมรู้สึกผิดจริงๆ ยกโทษให้ผมนะ” เดียร์มองสบตานิ่งๆ เห็นความจริงใจภายใต้ประโยคเหล่านั้น แล้วถึงบิดข้อมือให้หลุดออกจากการเกาะกุม
“คุณไม่ใช่คนแรกที่พูดกับฉันแบบนั้น คุณก็เหมือนกับคนอื่นๆ พวกเราเจอกันมาจนชินแล้ว” เดียร์ส่ายหน้าไปมา แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา เอนหลังเล่นโทรศัพท์มือถือไปพลาง โดยที่มีสัตวแพทย์หนุ่มมองจ้องอยู่ตลอดเวลา
จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึง 1 ชั่วโมง เดียร์ก็ให้เด็กในร้านเป็นคนเชิญลูกค้าไปสระผมล้างสีออก จนเมื่อหมอปริญกลับมานั่งที่เดิมแล้วเดียร์ก็เข้ามาประจำการอีกครั้ง ลงน้ำยาบำรุงผมให้ แล้วเป่าผมจนแห้ง เซ็ทผมให้อีกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากบอกราคาไป
“1,500 ค่ะ” คนเป็นหมอยื่นส่งเงินให้ ในตอนที่เดียร์ยื่นมือไปรับ อีกฝ่ายกลับดึงเงินคืนแล้วเอ่ยปากบอกเสียงนุ่ม
“กระเช้าพวกนั้น.... ผมตั้งใจเอามาขอโทษคุณ ผมรู้ว่าคำพูดของผมคงทำร้ายคุณมาก แต่ผมเสียใจจริงๆ และกระเช้านั้นคือคำขอโทษจากผม” หมอปริญยื่นเงินส่งให้ 2,000 บาท แล้วหันหลังเดินออกจากร้านไป เดียร์ก้มมองเงินภายในมือของตัวเอง แล้วยกยิ้มกว้าง
“ทิปกู 500!!!” ว่าพร้อมลั้นลาไปหยิบตังค์ทอน หย่อนใส่กระเป๋าของตัวเองด้วยความอารมณ์ดี
